ผู้เขียนมีอาชีพเป็นเกษตรกร
มีถิ่นฐานอยู่ทางจังหวัดทางภาคตะวันตกของประเทศ
ห่างไกลความเจริญ
หรือห่างไกลตัวอำเภอและตัวตำบลพอสมควร
ทางเข้าหมู่บ้านยังเป็นถนนลูกรังอยู่
(พ.ศ.
2555)
และหมู่บ้านที่ผู้เขียนอาศัยอยู่ถือเป็นหมู่บ้านปลายสายของระบบสายส่งไฟฟ้ากำลังพอดี
ไฟฟ้าที่เข้ามาในหมู่บ้านจึงเป็นระบบไฟ
1 เฟส หรือไฟ 2 สาย
บ้านของผู้เขียนไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่สายส่งของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
การต่อสายไฟฟ้าจากสายส่งของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมาที่บ้านต้องเดินสายไกล
ระยะทางที่สั้นที่สุดเกือบ
1
กิโลเมตร
แต่ต้องผ่านที่ดินของคนอื่น
แต่ถ้าจะเดินตามเส้นถนนจากหมู่บ้านเข้ามาที่บ้านระยะทางไกลกว่านั้นมาก ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ
17
ปีที่ผ่านมา
การเดินสายไฟฟ้าผ่านที่ดินคนอื่นๆ
มาที่บ้านไม่เป็นปัญหา
เพราะเจ้าของที่ดินคุ้นเคยกันดีเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านตั้งแต่ยุคแรกๆ
เหมือนกัน แต่ 3-4
ปีที่ผ่านมาสถานะการณ์เปลี่ยนแปลงไป
เนื่องจากมีผู้คนจากกรุงเทพฯ
เข้ามาซื้อที่ดิน
ทำให้ที่ดินเปลี่ยนเจ้าของ
เจ้าของที่ดินรายใหม่มองว่า
สายไฟฟ้าที่ผ่านที่ดินของตนเป็นเรื่องเกะกะ
ไร้สาระ และไม่ได้ประโยชน์
(ทั้งที่จุดที่สายไฟฟ้าผ่านเป็นแนวหินภูเขา
จะใช้ปลูกต้นไม้หรือทำการเกษตรไม่ได้เลย)
ขณะเดียวกันก็มองเห็นที่ดินของครอบครัวผู้เขียนสามารถใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรมได้
เคยเข้ามาถามซื้อแล้วทางครอบครัวผู้เขียนไม่ขาย
จึงใช้วิธีไม่ให้สายไฟฟ่าที่ครอบครัวผู้เขียนใช้อยู่ผ่านที่ดินของตน
ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงามครับ
หลังจากที่ผู้เขียนและครอบครัวตัดสายไฟทิ้งในวันที่
8
ของการสั่งให้ปลดสายไฟฟ้าภายใน
10 วัน
แน่นอนว่าครอบครัวของผู้เขียนต้องประสบกับปัญหาที่เกี่ยวเนื่องจากไฟฟ้าที่หนักหนาสาหัสพอสมควร
(ชาวบ้านเรียกว่า
“ตัดมือตัดตีน”)
ปัญหาที่เกิดขึ้น
พอสรุปได้ดังนี้
- ไม่มีแสงสว่างใช้ในยามค่ำคืน ซึ่งเป็นปัญหาแรกสุดที่ผู้เขียนและครอบครัวต้องเจอ
- บ้านของผู้เขียนมีอาชีพทำเกษตรกรรม มีทั้งส่วนที่เป็นพืชไร่ และพืชสวน และใช้ไฟฟ้าในการสูบน้ำสำหรับทำการเกษตรเป็นหลัก หลังจากที่ปลดสายไฟฟ้า ต้นพันธุ์ไม้ที่ผู้เขียนและครอบครัวซื้อไว้ต้นละ 150 ถึง 200 บาทกว่า 300 ต้นตายลงภายในระยะเวลาไม่กี่วัน เนื่องน้ำไม่พอรด และพืชส่วน พืชไร่กว่า 30 ไร่ ไม่สามารถเก็บผลผลิตได้เนื่องจากน้ำไม่พอรดเช่นเดียวกัน ซึ่งหมายถึง รายได้การงานเกษตรกรรมของผู้เขียนซึ่งเป็นรายได้หลักของครอบครัวสูญหายไปเกือบทั้งหมด
- ผู้เขียนพอมีความรู้อยู่เล็กน้อย จึงรับงานจากบริษัทในกรุงเทพฯ มาทำที่บ้านเป็นรายได้เสริม เป็นงานที่ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นงานที่ต้องส่งตามกำหนดเวลา และแน่นอนว่าเป็นงานต้องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด การไม่มีไฟฟ้าใช้กระทันหัน ทำให้งานส่วนนี้เสียหายไฟด้วย
สรุปก็คือหลังจากที่ไม่มีไฟฟ้า
นับตั้งแต่หลังจากปลดสายไฟฟ้า
ผู้เขียนและครอบครัวแทบจะไม่มีรายได้จากอาชีพหลักที่ผูกติดกับระบบไฟฟ้าหลักเลย
โชคดีอยู่บ้างที่ครอบครัวผู้เขียนปลูกข้าวไว้กินเองอาศัยน้ำฝน
จึงไม่เดือดร้อนเรื่องความเป็นอยู่มากนัก
และทุกคนครอบครัวนึกถืงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ในตอนที่ว่า
“ความขาดแคลนไม่ใช่ปัญหา
หากมีปัญญาก็สามารถแก้ไขได้”
ตลอดเวลา
และตลอดเวลานับตั้งแต่มีการมาแจ้งให้ปลดสายไฟฟ้า
ผู้เขียนและครอบครัวไม่ได้นิ่งดูดาย
ได้ดำเนินการแก้ปัญหาต่างๆ
จนรอดพ้นวิกฤตมาได้
เรื่องที่ผู้เขียนจะนำเสนอในลำดับถัดๆ
ไป
ดังนั้น
เรื่องราวการแก้ปัญหาที่ชีวิตต้องผูกติดกับไฟฟ้าของผู้เขียนและครอบครัว
ซึ่งสามารถนำไปเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าสำหรับท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านในเว็บบล็อกแห่งนี้